คุณเข้าใจไม่ผิดหรอก มันหมายถึงอย่ างนั้นจริงๆ ข ายดีจนกระทั่งธุรกิจเจ๊ ง
จนต้องได้ปิดตัวลงในที่สุด แบบที่เจ้าตัวยังงงๆ อยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน
เหตุการณ์อย่ างนี้ มักเกิดขึ้นกับเจ้าของกิจการขนาดเล็กในบ้านเรา และมีให้
เห็นมากมาย (ร้านอ า ห า ร ร้านจิปาถะ ) ที่เริ่มต้นเติบโตจากระบบแบบเจ้า
ของคนเดียว มีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จึงนำเอาความเชี่ยวชาญนั้น
มาทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จในการทำ และมีลูกค้ามากมาย แต่วันหนึ่ง
ก็เกิดการซวนเซ แล้วเจ๊ งไปซะง่ายๆ ซะงั้น
มีเพื่อนผมรายหนึ่งอยู่ในอาก ารที่ว่ามานี้ แต่โชคดี ที่มาถามผมก่อนเจ๊ ง
เพราะเพื่อนเข้ามาถามผมว่าเป็นเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้นทั้งๆ ที่ธุรกิจมัน
ก็ไปได้ดีตลอด ลูกค้าก็เยอะ ยอดขายในแต่ละวันก็นับเงินเมื่อยมือเลย
แต่ว่าต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ในธุรกิจ เหมือนเติมไม่เต็มตลอด หลายปี
ที่ทำธุรกิจมานั้น ผมเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า การเป็นเจ้าของกิจการนั้น
มีเงินเดือนเดือนละเท่าไหร่ เงียบ!! แทนคำตอบก่อนที่จะถามกลับมาว่า
ทำไมต้องมีเงินเดือน ก็ในเมื่อเป็นเจ้าของอยู่แล้วไง ผมถามคำถามที่สอง
ไปอีกว่า แล้วเจ้าของใช้เงินเดือนละเท่าไหร่ ลังเลนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า
ไม่รู้ว่าในแต่ละเดือนนั้นตัวเองใช้ไปเท่าไหร่ เพราะจะใช้อะไรก็หยิบไปเลย
ไม่ได้จดไว้ว่าเอาออกไปเท่าไหร่ ถ้าไม่พอก็รอให้เงินพอก่อนแล้วค่อยหยิบ
จากนั้นจึงถามคำถามที่สามต่อว่า แล้วเงินที่หยิบจากลิ้นชักไปนั้นเอาไป
ซื้ออะไร และคราวนี้สาธย ายย าวเลย ก็ซื้ อทุกอย่างที่ต้องการไง อย่ าง
กินข้าว ซื้อของเข้าบ้ าน เลี้ยงสังสรรค์ ผ่ อ น รถ และอีกมากมาย สรุปง่ายๆ
เหล่านี้แหละสาเหตุที่คนทำธุรกิจที่โตมากับมือ ส่วนมากเป็นแบบเพื่อนผม
ไม่เคยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง ไม่เคยจดว่าใช้เงินไปแค่ไหน และใช้ไปกับอะไร
และทำเป็นสรุปแบบข้อๆ ได้ 3 สาเหตุ ดังนี้
1. การใช้เงิน ที่ผิ ดประเภท
เพราะเพื่อนผมเอาเงินที่หยิบจากลิ้นชั กไปซื้อข้าวกิน
ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปผ่อนรถ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็น
เรื่องส่วนตัวทั้งนั้น ซึ่งเรื่องส่วนตัวก็ต้องใช้เงินส่วนตัวสิ
แต่เงินของธุรกิจควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสิ
เช่น ชำระหนี้การค้ า ซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือนพนักงาน
ฯลฯ ตอนที่รับเงินจากลูกค้ าในเงินแต่ละก้อนที่ได้รับ
มานั้น ประกอบด้วยต้นทุนของสินค้ า ต้นทุนค่าดำเนิน
การและกำไ รอยู่ในนั้นทั้งหมด ในทางกลับกัน เวลาที่
เราหยิบออกมา กลับมองว่าวันนี้รับมาเท่าไหร่ มองว่า
เป็นรายรับล้วนๆ ไม่คิดจะแยกทุนแยกกำไรเลยสักนิด
และเมื่อเอาไปใช้ไม่ถูกประเภทมันก็เท่ากับว่าได้ใช้ทั้ง
กำไ รและต้นทุนไปทั้งหมดเลย ทีนี้ก็จะอยู่ในอาก าร
ทุนหด กำไรไม่เหลือ ฉะนั้นแล้ว คิดให้ดีนะเวลาจะทำอะไร
2.ไม่แยกเงินของธุรกิจออกจากเงินส่วนตัว
เพราะคิดว่าคือเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง
พูดง่ายๆเลยก็คือเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดอยู่แล้ว เลยคิด
ว่าจะใช้อย่ างไรก็ได้ นี่เป็นความคิดเริ่มต้นที่ผิดมากนะ
เพราะต้องมองให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคลอีกคนหนึ่งเลย
ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่ เวลาเราจ้างใครก็จ่ายเงินเดือน
อย่ างชัดเจนและใช้เกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ตัวเราซึ่งรับจ้าง
ธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นนั้น กลับใช้เงินได้ไม่จำกั ด มันส่งผล
ทำให้เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนไม่คงที่ในแต่ละเดือน
ดังนั้น ต้องตั้งเงินเดือนให้ตัวเองและจ่ายเงินเดือนเมื่อถึง
สิ้นเดือนเหมือนพนักงานคนอื่น ๆ และก็ต้องใช้เงินแค่นั้น
ห้ามหยิบมาจากลิ้นชักอีก ต้องไปหาหยิบยืมคนอื่นเอาเอง
หรือถ้าจะยืมจากลิ้นชักจริงๆ ก็ต้องจดไว้ และหลังจากนั้น ก็ต้องนำมาคืนด้วย
3. ไม่ทำรายรับ-รายจ่าย
พอจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองแล้ว จากนั้นก็ควรจะทำบัญชี
รายรับ-รายจ่ายให้ตัวเอง เอาแบบคร่าวๆ ก็ได้ ให้พอรู้ว่า
แต่ละวันนั้นเราจ่ายอะไรไปแค่ไหน เหลือเงินใช้ได้อีก
เท่าไหร่ ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อยๆ และเงินเดือนที่ตั้งให้
ตัวเองไม่พอใช้ ก็ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองซะ ในข้อนี้จะขึ้น
เท่าไหร่คงไม่มีใครว่า แต่มันก็ควรเป็นตัวเลขที่สมเหตุสม
ผล และไม่ทำให้กระทบกับรายรับธุรกิจของเราด้วย