เงินเดือน 15,000 กับการใช้ชีวิตใน กทม.
เงินเดือน 15,000 บาท จะพอใช้ได้อย่ างไรใน กทม.? ในเมื่อชีวิตเราเป็นคนที่มีค่า ค่ากิน ค่าเครื่องใช้
ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถ ค่าเดินทาง และเงินส่งที่บ้าน
กทม. ถู ก จั ด ใ ห้ เป็น เมืองที่ค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน เป็นรองเพียงแค่สิงคโปร์เท่านั้น
(ข้อมูลจากนัมเบโอ เว็บไซต์ฐานข้อมูลค่าครองชีพโลก) แต่ “รายได้ต่อหัว” ของเรากับสิงคโปร์ต่างกัน
หลายเท่าตัวแล้วเราจะใช้เงินเดือน 15,000 บาทอย่ างไรให้ “พอ” และมีเหลือเก็บ
4 กฎเหล็กสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน และมีฐานเงินเดือน 15,000 บาท ให้เพื่อน ๆ นำไปทำตาม
อย่ างเคร่งครัด เพื่อความอยู่รอดในยุคที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นค่ะ
กฎข้อที่ 1 : ต้องออมก่อนใช้
ถ้าเพื่อน ๆ เก็บเงินเพียงเดือนละ 1,500 บาท ต่อเนื่องทุกเดือนเป็นระยะเวลา 35 ปี ตั้งแต่อายุ 25 ปี จนถึง
อายุ 60 ปี นำไปลงทุนได้ผลตอบแทนต่อปี 3 % จะมีเงินในบัญชีทั้งหมด 1.1 ล้านบาท เลยทีเดียวค่ะ
(จากสถิติในอดีตกองทุนหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย10% หากลงทุนระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป)
นี่คือจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าพลังของความมีวินัยสม่ำเสมอทำให้เงินเพียงหลักพันบาท กลายเป็น
หลักล้านบาทได้อย่ างสบาย
หากอาชีพการงานของเพื่อน ๆ โตขึ้น เงินเดือนก็ต้องมากขึ้นตามใช่มั้ยคะ และก็สามารถที่จะออมได้มากกว่า
1,500 บาทแน่นอน ถ้าเพื่อน ๆ ไม่ใจอ่อนถอนออกมาระหว่างทางเสียก่อนนะคะ
ดังนั้น ได้เงินเดือนแล้วให้ตัดออกมาเก็บออมก่อน ทำให้เป็นนิสัยตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน ค่อย ๆ ดูการเติบโต
ของเงิน แล้วเพื่อน ๆ จะเริ่มสนุกกับการเก็บออมและการบริหารเงิน
ช่วงแรกของการทำงาน อย ากให้เพื่อน ๆ อย่ าเพิ่งไปกังวลใจเรื่องช่องทางการลงทุนมากนัก พย าย ามสร้าง
วินัยให้ได้เสียก่อน เรื่องเครื่องมือการลงทุนเป็นเรื่องรอง พอฝึกวินัยได้เรื่องอื่นจะค่อย ๆ ง่ายขึ้นเองค่ะ
กฎข้อที่ 2 : ห้ามใช้จ่ายเกินรายรับ
ได้เ งิ นเดือนเท่าไหร่ จงบริหารชีวิตไม่ว่าจะกิน อยู่ ใช้ เก็บให้พอในหนึ่งเดือนตามเงินเดือนที่ได้รับหลายคน
มีรายได้เป็นของตัวเองแล้วแต่อาจจะต้องรบกวนขอเงินพ่อแม่ หยิบยืมเพื่อนฝูง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เงินเดือน
น้อยไม่พอใช้
บางคนไม่ยืมใครแต่ก็ใช้วิธีผิด ๆ ใช้ชีวิตแบบรูดบัตรเครดิตไปก่อน ผ่อนทีหลัง ถึงเวลาจ่ายก็จ่ายขั้นต่ำ ดอกเบี้ย
สะสมเป็นปัญหาทางการเงินที่เรื้อรังขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงแรกอาจจะรู้สึกสบายไม่เดือดร้อน แต่นานไปบอกได้เลยว่า
ชีวิตการเงินคุณพบกับ “หายนะ” แน่นอนค่ะ
ดังนั้น เมื่อทราบว่าได้รับเงินเดือนเท่าไหร่ให้จัดสรรชีวิตโดยลิสต์รายการค่าใช้จ่ายแบ่งเป็นหมวดหมู่ค่าอาหาร
ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าสังสรรค์เพื่อความบันเทิง
หลังจากนั้น ให้กำหนดงบประมาณของค่าใช้จ่ายแต่ละส่วน เพื่อเทียบเคียงกับรายรับและจัดแบ่งให้สมดุล
ที่ไม่มีไม่ได้คือ จะออมเงินเดือนละเท่าไหร่ ห้ามมีข้ออ้างที่จะงดออมเชียวทุกรายการปรับได้ตามความ
เหมาะสมของแต่ละคนค่ะ
กฎข้อที่ 3 : อย่ าสร้างหนี้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ
รถก็อย ากขับ บ้านก็อย ากมี คอนโดก็อย ากได้ เป็นเรื่องปกติที่อย ากมีเมื่อทำงานหาเงินได้เป็นของตัวเอง
แต่อย่ าลืมว่า 3 สิ่งนี้ใช้เงินก้อนโตพอสมควร
รถอาจราคาไม่แพงเท่าบ้าน แต่ก็จะพ่วงด้วยภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมาทั้งค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ประกัน
ซ่อมบำรุง ฯลฯ ส่วนบ้านเป็นที่ทราบดีว่า ราคาสูง และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสด ต้องทำ
เรื่องกู้สถาบันการเงินและมีระยะเวลาการผ่อนชำระที่ย าวนานถึง 20 – 30 ปี และแน่นอนหากไม่
วางแผนให้ดี รีบร้อนสร้างหนี้ อาจเป็นภาระระยะย าวสร้างปัญหาทางการเงินได้
อีกข้อหนึ่งที่เพื่อน ๆ ต้องระมัดระวังให้มากคือ หนี้ที่เกิดจากการบริโภค เช่น หนี้จากบัตรเครดิต หลายคน
เริ่มต้นทำงานด้วยฐานเงินเดือนที่สามารถสมัครบัตรเครดิตได้ ก็ใช้จนลืมตัวทำให้สุดท้ายแทนที่ชีวิตจะ
ค่อย ๆ มั่นคงเติบโตขึ้นสุดท้ายกลับต้องมานั่งใช้หนี้ที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำงาน
กฎข้อที่ 4 : ต้องมีรายได้มากกว่า 1 ทาง
ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดกว้างให้เพื่อน ๆ สามารถหารายได้เพิ่มที่นอกเหนือจากงานประจำ โดยให้เริ่มที่ความถนัด
ของตนเอง อาจต่อยอดจากงานประจำ งานอดิเรก หรือสิ่งที่รักที่ชอบแต่อย่ าให้กระทบกับงานประจำที่ทำ
อยู่เท่านั้น และต้องไม่ใช้ทุนรอนสูงจนเกินไปค่ะ
บางคนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บริษัทปิดตัว แต่ยังมีงานที่ 2 อาชีพที่ 3 รองรับ หรือแม้แต่อาชีพเสริมของ
บางคนกลับกลายเป็นอาชีพหลัก เป็นธุรกิจกิจการที่หล่อเลี้ยงครอบครัวได้มากกว่างานหลักเสียอีกค่ะ
บทสรุป
ปัญหาเรื่องการเงินแท้จริง ไม่ได้อยู่ที่มีเงินมากหรือน้อย แต่อยู่ที่การบริหารจัดการปัจจัยภายนอกอย่ าง
ค่าครองชีพ เราไม่สามารถควบคุมได้ก็จริงค่ะ แต่เราสามารถควบคุมตนเองได้แน่นอน ขอแค่ให้คุณมี
“วินัย” และ “อดทน” เท่านั้นเอง