รู้มั้ยว่า ?? ถ้าคุณแม่ลอง“ ขี้เกียจ ” แล้วปล่อยให้ลูกเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ รู้จักช่วยเหลือ
ตนเองเป็น มันจะทำให้ลูกเป็นคนเก่ง วันนี้มีงานวิ จั ยของต่างชาติเผย 3 ข้อ ที่หากแม่
เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยน้อยที่สุดจะส่งผลดีกับลูกเป็นอย่างมาก
1. ขี้เกียจขยับมือ
การสอนให้ลูกรู้จักพึ่งพาตนเอง พ่อแม่ต้องขี้เกียจ
ตามเก็บกวาดให้ลูกทุกอย่ าง ควรปล่อยให้เขารู้จัก
พึ่งพาตัวเองบ้าง บางสิ่งที่ลูกสามารถทำเองได้ไม่
จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยทุกครั้ง เช่น ห้องนอน
ลูกที่ดูไม่เป็นระเบียบแค่เตือนให้เขารู้ตัวว่าต้องทำ
แต่ไม่ต้องไปทำให้ลูก เราควรจะเน้นไปที่การสอน
ให้ลูกดูแลความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนรวมของบ้าน
เช่น ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร และเมื่อลูก
เห็นว่า พื้นที่อื่นในบ้านสะอาด เขาจะรู้สึกว่าเขาต้อง
ทำความสะอาดห้องนอนตัวเองให้สะอาดเหมือนกัน
2. ขี้เกียจบ่ น
การปล่อยให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในหลายครอบครัว
คนเป็นพ่อเป็นแม่มักจะตั้งความหวังไปที่ลูกมากจน
เกินไป จนทำให้ลูกอึดอัดและกดดัน กลายเป็นไม่
สนใจและไม่อย ากฟังสิ่งที่เราจะพูด แต่สำหรับครอบ
ครัวนี้เขากลับใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในการ
ชวนลูกมาเล่นเกม และไม่ต้องทำการบ้าน โดย
คุณแม่จะถามว่า : “ลูกกะจะเล่นเกมถึงกี่โมง ?”
ลูกตอบ : “ขอเล่นอีก 30 นาที”
แม่ตอบกลับไปว่า : “ โอเค ต้องรักษาคำพูดนะ ”
เมื่อถึงเวลา 30 นาที แม่เดินกลับมาดู และยังเห็นว่า
ลูกเล่นเกมอยู่ คุณแม่ก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ยังสงบอารมณ์
ได้และพูดกับลูกอย่ างใจเย็นว่า
“ปกติลูกเป็นคน รั ก ษ า คำพูดไม่ใช่เหรอ ”
เมื่อลูกได้ฟังคำพูดของแม่ ก็เริ่มรู้สึดผิดต่อสิ่งที่ทำ
จึงเดินไปปิดสวิตช์ และรีบไปทำการบ้านทันที
นี่เป็นสาเหตุมาจากการเป็นคนน่าเชื่อถือของคุณแม่
ท่านนี้ เพราะเวลาคุณแม่รับปากอะไรกับลูกไว้ เธอก็
จะทำตามนั้นได้เป๊ะ ๆ ไม่เคยผิดคำพูดกับลูก เช่น
จะพาลูกไปเที่ยว จะซื้อของเล่นให้เธอ ก็ทำตามคำ
พูดได้ทุกครั้ง มันแสดงให้เห็นว่าคุณแม่ท่านนี้เป็น
คนที่ให้ความสำคัญกับการรักษาคำพูดเป็นอย่า ง
มาก เพราะเมื่อรับปากอะไรไว้แล้ว ก็ต้องทำให้ได้
และสอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง
แล้วคำพูดก็เลยดูศักดิ์สิทธิ์ ผลปรากฎว่าพ่อแม่ที่
ไม่บ่นเรื่อนเปื่อย แต่ใช้วิธีปลูกฝังจิตสำนึกให้ลูก
แทนใช้เหตุผลในการคุยกับลูกมากกว่าอารมณ์
สอนให้ลูกรู้จักรักษาคำพูดของตัวเองและทำตาม
ที่พูดไว้อย่ างเคร่งครัด ทำให้ลูกให้ความสำคัญกับ
คำพูดมากโดยที่เราไม่ต้องไปบ่นให้เขามากมาย
เขาสามารถสำนึกและคิดได้เอง ถ้าอย ากให้ลูก
ช่วยเหลือตัวเองเป็น ให้ลูกได้ลองลงมือปฎิบัติ
ถ้าอย ากให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็นให้ฝึกถาม
เพื่อให้ลูกกล้าแสดงความคิดเห็น ถ้าอยา กให้ลูก
มีวินัย พ่อแม่ต้องรู้จักรักษาคำพูด ถ้าอย ากให้ลูก
พูดเพราะหรือมีมารย าท ต้องทำให้ลูกเห็นทุกวัน
3. ขี้เกียจช่วยลูกทำการบ้าน
มีคุณแม่ท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองว่า
เธอไม่เคยสอนหรือช่วยทำการบ้านให้ลูกของเธอเลย
แม่จะบอกลูกแค่ว่าให้ทำการบ้าน เวลาไหนควรทำ
แล้วก็ไ ล่ให้ลูกไปทำ พอทำเสร็จก็ค่อยบอกแม่และ
เธอก็จะไม่ตรวจสอบว่าลูกทำถูกต้องหรือไม่ เพราะ
การตรวจสอบนั้นมันเป็นหน้าที่ของลูก หรือให้รู้ว่า
ถูกผิดจากที่โรงเรียน คุณแม่มีหน้าที่แค่เซ็นชื่อให้
เท่านั้นเอง ช่วงแรก ๆ ลูกของเธอก็แสดงอาการไม่
พอใจและพูดว่า “ทำไมแม่ถึงขี้เกียจแบบนี้ แม่คนอื่น
เขาช่วยตรวจการบ้านให้ลูกกันทั้งนั้น” เธอจึงตอบ
ลูกไปว่า “ที่แม่ไม่ตรวจการบ้านลูกไม่ใช่เพราะแม่
ขี้เกียจหรอกนะ แต่ลูกลองคิดดูสิ ถ้าแม่ตรวจให้แล้ว
ลูกจะรู้ได้ไงว่าตัวเองทำผิดตรงไหน แล้วตอนสอบ
เวลาลูกทำผิด จะรู้ไหมว่าผิดตรงไหน ลูกต้องฝึก
ตรวจความถูกต้องด้วยตัวเองเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เพราะในห้องสอบไม่มีใครช่วยลูกได้ จำไว้นะลูก
“ตอนลูกอยู่ในโรงเรียน ลูกจะได้รับบทเรียนก่อน
แล้วถึงได้ทำข้อสอบ แต่สำหรับในโลกความจริง
ลูกจะต้องเจอบททดสอบก่อน ถึงจะได้บทเรียน”
การที่เธอขี้เกียจสอนการบ้าน หรือช่วยลูกทำการบ้าน
ทำให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเองได้มากที่สุด ลูกจะได้รู้จัก
พึ่งพาตัวเอง ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ
หากคิดไม่ออกหรือทำไม่ได้ ค่อยมาขอคำแนะนำจากแม่ได้
ผลปรากฎว่า สำหรับพ่อแม่ที่มีนิสัยขี้เกียจตีกรอบความ
คิดให้ลูก แต่ปล่อยให้ลูกคิดเองอย่างอิสระหรือทำ
ทุกอย่ างด้วยการตัดสินใจของตัวเองได้อย่า งอิสระ
แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจยังให้ความสนใจลูกและคอยดู
อยู่ห่างๆ จะทำให้ลูสามารถเผชิญกับปัญหาได้ดี
เขาจะมีภูมิคุ้มกัน มีปีกที่แข็งแรงพอและอยู่ได้ด้วย
ตัวเอง แม้วันหนึ่งคุณจะไม่ได้อยู่ปกป้องเขาแล้วก็ตาม
ผลปรากฎว่าเมื่อพ่อแม่ขี้เกียจช่วยเหลือลูกในบางเรื่องส่งผลให้ลูกฝึกทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น
และเป็นการฝึกนิสัยพึ่งพาตัวเอง มีความรับผิดชอบต่อสิ่งรอบตัวและจะทำให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อ
ตัวเองมากขึ้น เมื่อเขาโตไปจะกลายเป็นคนที่สามารถรับผิดชอบได้ดีรู้จักหน้าที่ของตัวเอง