1.รายได้ไม่พอในการจ่ายบิลต่างๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถึงขั้นที่ต้องเลือกว่าจะจ่ายบิลไหนก่อนดี
บิลไหนควรเก็บไว้ก่อนได้ ก็แสดงว่านั่นมันเริ่มวิ กฤ ตแล้วนะ
คุณต้องเริ่มจัดการส ะส างกับรายได้ที่มีอยู่ตอนนี้ หารายได้
พิเศษ หรือหาวิธีลดรายจ่ายประจำ เช่น หาที่อยู่ใหม่ที่ค่าเช่า
ถูกกว่าที่เดิม ปรับราคาโปรโทรศัพท์ที่ถูกลง เป็นต้น
2.ใช้เงินหมดตั้งแต่ต้นเดือน
เงินเพิ่งออกได้ไม่กี่วัน มาดูยอดเงินอีกทีแทบหมดบัญชีแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าคนเราจะมีปัญหาเงินฝืดกันบ้าง
แต่ถ้ารู้สึกว่ามันเป็นแบบนี้ประจำเลยหลังจากวันที่ 5 ของเดือน
ก็แ ทบจะไม่มีเงินเหลือแล้ว แสดงว่าคุณเจอวิก ฤต รายได้
ของจริงเข้าแล้ว ถึงแม้ว่าบางคนอาจมีเงินพอจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าผ่อนบ้านตามปกติ แต่เหลือเงินไว้กินไว้ใช้ในแต่ละวันนั้น
น้อยนิดมาก ก็หมายความได้ว่ารายได้ที่มีอยู่นั้นไม่พอใช้แล้ว
ทางที่นั้น อาจมองหางานใหม่ หรือรายได้เสริมอีกทาง จึงจะ
เป็นทางออกที่ดีที่สุดนั่นเอง
3.ตัดอะไรออกไม่ได้เลย
เมื่อคุณมีรายได้เท่าเดิม แถมยังไม่สามารถตัดรายจ่ายต่างๆ
นาๆออกได้อีกแล้ว แถมยังเหลือเงินใช้ไม่ถึงสิ้นเดือนอีกด้วย
แบบนั้นก็ยิ่งต อก ย้ำว่าคุณมีปัญหาเรื่องรายได้ขั้นรุนแรงเลย
เพราะมันแสดงให้เห็นว่ารายได้ที่มีมันไม่เพียงพอกับรายจ่าย
ที่มันจำเป็นจะต้องใช้ในทุกเดือน
4.รับมือกับเห ตุฉุ กเ ฉิ นไม่ได้
ถ้าต้องใช้เงินแบบเดือนชนเดือนไปตลอด ก็คงย ากที่จะ
เหลือเงินออมเผื่อใช้ในกรณีฉุ กเ ฉิ น ซึ่งสุดท้ายแล้วเมื่อ
วันใดเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แล้วคุณไม่มีเงินสำรองไว้เลย
ต้องพึ่งบัตรเครดิตตลอด นั่นยิ่งจะทำให้รายจ่ายพุ่ งพร วด
เข้าไปใหญ่ ดังนั้น ถ้าไม่มีเงินพิเศษเหลือออมในทุกๆเดือน
ก็แสดงว่า คุณมีรายได้ไม่พอใช้แล้วจริง ๆ
5.ใช้บัตรเครดิตทุกเดือน
สั ญ ญ าณสุดอั นตร าย ที่บ่งบอกว่ารายได้มีปัญหาก็คือ
การใช้บัตรเครดิตในชีวิตประจำวัน เพื่อประคองตัวเองให้
อยู่รอดจนถึงวันที่ได้รับเงินเดือนรอบใหม่ อย่ าปล่อยให้
สถานการณ์เลยเถิดจนยอดใช้บัตรเครดิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ
และรายรับไม่พอดีกับรายจ่าย สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หยุดใช้
บัตรเครดิตให้เร็วที่สุด และควรใช้เงินสดเมื่อต้องซื้อของใช้
ประจำวัน เพราะจะช่วยให้คุณสามารถคุมรายจ่ายต่างๆได้
ดังนั้น คงต้องอยู่กับความจริงที่ว่าจะกินหรู ช้อปของใหม่
ไม่ได้เลย หากไม่จำเป็นจริง ๆ จนกว่าคุณจะหาวิธีทำให้
เงินงอกเงยได้สำเร็จก่อน