1. แยกไม่ออกว่าอันไหนจำเป็นหรือต้องการ
วิธีการแยกให้ง่ายที่สุดเลยก็คือ เราต้องรู้ว่าสิ่งไหนต้องมี (จำเป็น)
ขาดไปแล้วจะใช้ชีวิตไม่ได้ เช่น ปัจจัย 4 และสิ่งไหนมีก็ดี ไม่มีก็ได้
(ต้องการ) ขาดไปแล้วยังใช้ชีวิตได้ แต่ถ้ามีแล้วชีวิตจะดีขึ้น เช่น
เสื้อผ้าแ บ ร น ด์ เนม หรือสิ่งไหนไม่จำเป็นต้องมีแต่ถ้าแยกไม่ได้
และเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งอาจทำให้เรามีแต่จ่ายกับจ่ายไม่มีที่สิ้นสุด
2. ใช้เงินเมากขึ้นกว่าเดิม
มันก็คงไม่ผิดหรอกถ้าคิดว่าตัวเองอย ากมีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่าเก่า
แต่อย่ าลืมว่าชีวิตที่ดีขึ้นนั้น มันไม่จำเป็นต้องมากับรายจ่ายที่มาก
ขึ้นเพียงอย่ างเดียว ลองใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นเลิกเป็นนักสะสม สนุกกับ
การ Mix & Match แค่นี้ก็ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้แล้ว เพราะถ้าได้
เงินเดือนเพิ่ม แล้วใช้จ่ายเพิ่มตามไปด้วย สุดท้ายอาจได้แค่อย าก
มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะพฤติกรร มมือเติบอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมา
โดยเฉพาะหนี้สินที่พอกพูนโดยไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง
3. ไม่เคยตั้งงบประมาณในการใช้เงินเลย
หลายๆคนไม่เคยตั้งงบประมาณการใช้เงินเลย จะช้อปปิ้งช่วงปีใหม่
จะไปเที่ยว ก็จัดเต็มและสุดท้ายก็เกินความจำเป็น เกินกำลังทรัพย์
ของตัวเอง และกลายเป็นหนี้ในที่สุด ทางที่ดีนั้น เราควรตั้งงบประ
มาณการใช้เงินทุกครั้ง เช่น จะไปเที่ยวทริปกลางปีนี้งบประมาณรวม
เท่าไหร่ และทำตามแผนไม่ใช้เกินงบที่ตั้งไว้นั่นเอง
4. เป็นสาวกเทคโนโลยีใหม่ๆ
ขึ้นชื่อว่าเทคโนโลยีแล้ว งเราวิ่งตามเท่าไหร่ เงินก็จะยิ่งไหลออกจาก
กระเป๋ามากขึ้นเท่านั้น ตามยังไงก็ไม่ทันหรอกเพราะมันมีออกมาใหม่
เรื่อยๆ และนั่นก็ทำให้รายได้ที่มากขึ้นของเราไม่เคยพอต่อการตาม
เทรนด์เหล่านี้ ไม่ผิดถ้าจะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ เพียงเพราะอย าก
ได้รุ่นใหม่ที่เพิ่งออก แบบนั้นก็ไม่ดีนะ ถ้าจะซื้อแล้วได้ใช้งานให้คุ้มค่า
และใช้ต่อยอดทำเงินให้กับเราได้ แบบนี้น่าดีกว่านะ
5. ไม่เคยจดเรื่องเงินของตัวเอง
หลายคนไม่เคยจดเรื่องเงินของตัวเอง ทั้งที่เป็นเรื่องที่ดีกับตัวเองแท้ๆ
เพียงเพราะคิดว่าเรารู้อยู่แล้วว่า รับ จ่าย ออม เท่าไหร่ จริงอยู่ที่เราอาจรู้
ความเคลื่อนไหวเงินที่เข้า-ออกในกระเป๋า แต่นั่นอาจเป็นแค่ก้อนใหญ่ ๆ
แต่รายจ่ายจิปาถะ อย่ าง ค่ากาแฟ ขนม เสื้อผ้าอุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้แต่
ค่าใช้จ่ายปลีกย่อยๆ และนั่นก็เป็นรูรั่ วเล็กๆ แต่สร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ต่อ
สถานะการเงินโดยที่เราไม่รู้ตัว ทางที่ดีนั้น เราควรจดรายจ่ายในแต่ละวัน
ว่าแต่ละวันใช้อะไรไปบ้าง ทำต่อเนื่องกันสัก 2-3 เดือน เราก็จะเห็นแล้วว่า
อะไรที่เกินจำเป็น และเสี ยไปโดยใช่เหตุบ้าง
6. สนใจแต่ปัจจุบันไม่สนใจอนาคต
เมื่อเจอกับปัญหาหลายคนเลือกที่จะเดินหนี หรือบ่ายเบี่ยงไปทำอย่างอื่น
และปัญหาก็ยังคงกองอยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม แถมอาจหนักขึ้นจนเข้าขั้น
วิ ก ฤ ติ ได้ในอนาคต ในเรื่องของการเงินก็เช่นกันหลายคนสนใจกับความ
สุขในวันนี้ กินอิ่ม ปาร์ตี้สนุก เที่ยวให้เต็มที่ ทั้งที่รู้ว่ายังไม่มีเงินเก็บสำหรับ
อนาคตเลย ไม่มีเงินสดสำหรับย ามฉุ กเฉิ น ไม่เคยวางแผนการเงิน และ
ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหาเช่นเคย คงดีกว่าไม่น้อยถ้าการตัดสินใจใช้เงิน
ทุกครั้ง เราได้ฉุกคิดถึงอนาคตบ้างว่า…บ้านผ่อนหมดยังหนี้บัตรเครดิต
จ่ายเต็มวงเงินแล้วใช่มั้ย ??
7. คิดว่ามันเร็วเกินไปที่จะออมเงิน
ในวันที่เรายังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวอยู่ อันนู้นก็ใช่ อันนี้ก็อย ากได้
และทำให้เราเสี ยทรัพย์อยู่เสมอ ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นแค่ความ
ต้องการที่มีก็ดี ไม่มีก็ได้
8. ไม่สนใจหนี้
น้อยคนนักที่จะไม่มีหนี้ แต่คนมีหนี้จำนวนมากกลับให้ความสำคัญกับ
การชำระหนี้ น้อยมากหรือบางคนไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการหนี้เลย
และนั่นก็ย่อมทำให้เขาเหล่านั้นตกอยู่ในวังวนของหนี้อย่ างไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะเมื่อได้เงินมาก็มัวแต่สนุกกับการใช้จ่าย กระทั่งด อกเบี้ยทบต้นไป
เรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม คนที่อยา กรวยจะกลัวการเป็นหนี้มาก และนั่น
ก็ทำให้เขาเหล่านั้นให้ความสำคัญกับหนี้เป็นอย่ างแรก เมื่อมีรายได้เข้า
มาก็จะรีบชำระหนี้ก่อนสิ่งอื่นใด
